วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การช่วยฟื้นคืนชีพ



ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary resuscitation : CPR)
                                          
   cpr
             หมายถึง การช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคืนสู่สภาพเดิม ป้องกันเนื้อเยื่อได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร ซึ่งสามารถทำได้โดยการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic life support) ได้แก่ การผายปอด และการนวดหัวใจภายนอก


ภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น
             

              ภาวะหยุดหายใจ (Respiratory arrest) และภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) - เป็นภาวะที่มีการหยุดการทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจและการไหลเวียนเลือด ส่วนมากมักจะพบว่ามีการหยุดหายใจก่อนเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น และ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง จะทำให้เสียชีวิตได้สาเหตุของการหยุดหายใจ
  1. ทางเดินหายใจอุดตันจากสาเหตุต่างๆ เช่น จากสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ การแขวนคอ การถูกบีบรัดคอ การรัดคอ เป็นต้น ในเด็กเล็กสาเหตุจากการหยุดหายใจที่พบได้มากที่สุดคือ การสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าหลอดลม เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ เมล็ดถั่ว เป็นต้น
  2. มีการสูดดมสารพิษ แก็สพิษ ควันพิษ
  3. การถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงดูด
  4. การจมน้ำ
  5. การบาดเจ็บที่ทรวงอก ทำให้ทางเดินหายใจได้รับอันตรายและเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ
  6. โรคระบบประสาท เช่น บาดทะยัก ไขสันหลังอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต
  7. การได้รับสารพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน ต่อยบริเวณคอ หน้า ทำให้มีการบวมของเนื้อเยื่อของทางเดินหายใจและหลอดลมมีการหดเกร็ง
  8. การได้รับยากดศูนย์ควบคุมการหายใจ เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น โคเคน บาร์บิทูเรต ฯลฯ
  9. โรคหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน
  10. มีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และมีภาวะหายใจวายจากสาเหตุต่างๆ


 สาเหตุของหัวใจหยุดเต้น
  1. หัวใจวายจากโรคหัวใจ จากการออกกำลังกายมากเกินปกติ หรือตกใจหรือเสียใจกระทันหัน
  2. มีภาวะช็อคเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน จากการสูญเสียเลือดมาก ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
  3. ทางเดินหายใจอุดกั้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
  4. การได้รับยาเกินขนาดหรือการแพ้


ข้อบ่งชี้ในการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
  1. ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจ โดยที่หัวใจยังคงเต้นอยู่ประมาณ 2-3 นาที ให้ผายปอดทันที จะช่วยป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ และช่วยป้องกันการเกิดภาวะเนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจนอย่างถาวร
  2. ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นพร้อมกัน ซึ่งเรียกว่า Clinical death การช่วยฟื้นคืนชีพทันทีจะช่วยป้องกันการเกิด Biological death คือ เนื้อเยื่อโดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจน
       ระยะเวลาของการเกิด Biological death หลังจาก Clinical death ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่โดยทั่วไป มักจะเกิดช่วง 4-6 นาที หลังเกิด clinical death ดังนั้นการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพจึงควรทำภายใน 4 นาที



ลำดับขั้นในการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นพื้นฐานประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่สำคัญ คือ A B C ซึ่งต้องทำตามลำดับคือ 
  1. A - Airway : การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
  2. B - Breathing : การช่วยให้หายใจ
  3. C - Circulation : การนวดหัวใจเพื่อช่วยให้เกิดเลือดไหลเวียนอีกครั้ง


หลักการ A B C ของการช่วยชีวิต
1. A : Airway หมายถึง การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติการขั้นแรก ที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเนื่องจากโคนลิ้นและกล่องเสียงมีการตกลงไปอุดทางเดินหายใจส่วนบนในผู้ป่วยที่หมดสติ ดังนั้นจึงต้องมีการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการดัดคางขึ้นร่วมกับการกดหน้าผากให้หน้าแหงนเรียกว่า "Head tilt chin lift"
     ทางเดินหายใจที่เปิดและปิด
         
ทางเดินหายใจที่เปิดและปิด 
                                           
 head tilt chin lift
      
 Head Tilt Chin Lift 


         ในกรณีที่มีกระดูกสันหลังส่วนคอหัก หรือในรายที่สงสัย ควรใช้วิธี "jaw thrust maneuver" โดยการดึงขากรรไกรทั้งสองข้างขึ้นไปข้างบน ผู้ช่วยเหลืออยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย
        jaw thrust maneuver

      Jaw Thrust Maneuver 





2. B : Breathing คือ การช่วยหายใจ เนื่องจากการหายใจหยุด ร่างกายจะมีออกซิเจนคงอยู่ในปอดและกระแสเลือด แต่ไม่มีสำรองไว้ใช้ดังนั้น เมื่อหยุดหายใจ จึงต้องช่วยหายใจ เป็นวิธีที่จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดผู้ป่วยได้ ซึ่งออกซิเจนที่เป่าออกไปนั้นมีออกซิเจนประมาณ 16-17 % ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในร่างกาย สามารถทำได้หลายวิธี คือ ด้วยการเป่าปาก (Mouth to Mouth) เป่าจมูก (Mouth to Nose) และวิธีการกดหลังยกแขนของโฮลเกอร์ - นิลสัน (Back pressure arm lift or Holger - Nielson method) ทำได้ดังนี้

        2.1 กรณีเป่าปาก บีบจมูกของผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือหายใจเข้าปอดลึก ๆ ซัก 2-3 ครั้ง หายใจ เข้าเต็มที่แล้วประกบปากให้แนบสนิทกับปากของผู้ป่วย แล้วเป่าลมหายใจเข้าไปในปอดให้เต็มที่
     Mouth to Mouth

       การผายปอดด้วยวิธี Mouth to Mouth 


        2.2 กรณีเป่าจมูก ใช้ในรายที่มีการบาดเจ็บในปาก หรือในเด็กเล็ก ต้องปิดปากของผู้ป่วยก่อน และเป่าลมหายใจเข้าทางจมูกแทน

 Mouth to Nose

 การผายปอดด้วยวิธี Mouth to Nose 

          ขณะที่เป่าให้เหลือบมองยอดอกของผู้รับบริการด้วยว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ การเป่าลมหายใจของผู้ช่วยเหลือผ่านทางปากหรือจมูก จะต้องทำอย่างช้าๆ ปล่อยปากหรือผู้ช่วยเหลือออกจากปากหรือจมูกของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจออก ให้ ผายปอด 2 ครั้ง ๆ ละ 1-1.5 วินาที (แต่ละครั้งได้ออกซิเจน 16 %) อัตราเร็วในการเป่า คือ 12 -15 ครั้ง / นาที ใกล้เคียงกับการหายใจปกติ

3. C : Circulation คือการนวดหัวใจภายนอก ทำในรายที่ประเมินภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยการจับชีพที่ Carotid artery แล้วไม่พบว่ามีการเต้นของชีพจร ก็จะช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดโดยการกดนวดหัวใจภายนอก (Cardiac massage) โดยมีหลักการคือ กดให้กระดูกหน้าอก (Sternum) ลงไปชิดกับกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้หัวใจที่อยู่ระหว่างกระดูกทั้งสองอัน ถูกกดไปด้วย ทำให้มีการบีบเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย เสมือนการบีบตัวของหัวใจ

วิธีนวดหัวใจ
1. จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ บนพื้นแข็ง ถ้าพื้นอ่อนนุ่มให้สอดไม้กระดานแข็งใต้ลำตัว
2. วัดตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการนวดหัวใจ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างที่ถนัด วาดจากขอบชายโครงล่างของผู้ป่วยขึ้นไป จนถึง ปลายกระดูกหน้าอก วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วใช้สันมือข้างที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว และใช้สันมือข้างที่ถนัดวางทับลงไป และเกี่ยวนิ้วมือให้นิ้วมือที่วางทับแนบชิดในร่องนิ้วมือของมือข้างล่าง (Interlocked fingers) ยกปลายนิ้วขึ้นจากหน้าอก
3. ผู้ช่วยเหลือยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยน้ำหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสองและลงไปสู่กระดูกหน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของผู้เจ็บป่วยในผู้ใหญ่และเด็กโต กดลงไปลึกประมาณ 1.5 - 2 นิ้ว ให้กดลงไปในแนวดิ่ง และอย่ากระแทก
4. ผ่อนมือที่กดขึ้นให้เต็มที่เพื่อให้ทรวงอกมีการขยายตัว และหัวใจได้รับเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจน ขณะที่ผ่อนมือไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นสูง มือยังคงสัมผัสอยู่ที่กระดูกหน้าอก อย่ายกมือออกจากหน้าอก จะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกาย และมีเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้มีการไหลเวียนเลือดในร่างกาย
5. การกดนวดหัวใจจะนวดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาที ถ้าน้อยกว่านี้จะไม่ได้ผล

                          แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก

แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก

แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก


การปฏิบัติในการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น
1. เมื่อพบคนนอนอยู่ คล้ายหมดสติ ต้องลองตรวจดูว่าหมดสติจริงหรือไม่ โดยการเรียกและเขย่าตัว เขย่าหรือตบที่ไหล่ ถ้าหมดสติจะไม่มีการโต้ตอบ หรือมีเสียงคราง หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
                   


   ตรวจสอบการหมดสติ
                                               

2. ประเมินการหายใจโดยการทำ Look listen and feel
   - Look คือ ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก และหน้าท้องว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ หรือ หายใจหรือไม่
   - Listen คือ ฟังเสียงลมหายใจ โดยเอียงหูของผู้ช่วยเหลือเข้าไปใกล้บริเวณจมูกและปากของผู้ป่วย ว่าได้ยินเสียงอากาศผ่านออกมาทางจมูกหรือปากหรือไม่
   - Feel คือ สัมผัส โดยการใช้แก้มของผู้ช่วยเหลือสัมผัสกับความรู้สึกว่ามีลมหายใจที่ผ่านออกจากปากหรือจมูก อาจใช้สำลีหรือวัสดุบางเบาจ่อบริเวณจมูก

                          


แสดงการทำ  look  listen and feel
                                  
3. ถ้าพบว่าไม่หายใจให้เรียกขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น พร้อมทั้งจัดท่านอนหงายราบบนพื้นแข็ง เริ่มขั้นตอนการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นตอนที่ 1 Airway โดยการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ด้วยวิธี Head Tilt Chin Lift หรือ Jaw Thrust Maneuver (ถ้ามีการหักของกระดูกสันหลังส่วนคอ)

4. ทดสอบการหายใจโดยการทำ Look Listen and Feel อีกครั้งหนึ่งถ้ายังไม่หายใจ ให้ทำขั้นตอนต่อไป คือ ขั้นตอนที่ 2 Breathing คือ เป่าลมหายใจ 2 ครั้ง

5. ทดสอบว่าหัวใจหยุดเต้นหรือไม่ด้วยการจับชีพจร ถ้าไม่มีการเต้นของหัวใจ เป่าปากอีก 2 ครั้ง แล้วทำ Cardiac Massage ด้วยอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาที โดยการนับ 1 และ2 และ 3 และ………จนถึง 30 ครั้ง

6. ทำสลับกันอย่างนี้ ไปจนครบ 4 รอบ (1 นาที) จึงประเมินการหายใจและการเต้นของชีพจร และประเมินอีก ทุก 1 นาที

7. ถ้ามีผู้ช่วยเหลือมาช่วยอีก ให้แบ่งการทำหน้าที่กัน เช่น ผู้ช่วยเหลือคนที่ 1 ผายปอด ผู้ช่วยเหลือคนที่ 2 กดนวดหัวใจ ถ้าผู้ช่วยเหลือแต่ละคนอาจเหนื่อยและต้องการเปลี่ยนหน้าที่กัน โดยการตะโกนว่า "เปลี่ยน" ก็จะสลับหน้าที่กัน
                         


     การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ 2 คน
                                            
8. ให้ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีบุคลากรนำอุปกรณ์มาช่วยเหลือเพิ่มเติม และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
                                    

การจัดท่าผู้ป่วยหลังปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
       หลังปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ จนกระทั่งผู้ป่วยมีชีพจรและหายใจได้เองแล้ว แต่ยังหมดสติอยู่ หรือพบผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังมีชีพจรและหายใจอยู่ ควรจัดให้อยู่ในท่าพักฟื้น (Recovery Position) ซึ่งท่านี้จะช่วยป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ช่วยให้น้ำลายหรือเสมหะไหลออกจากปากได้ ทำให้ปลอดภัยจากการสูดสำลัก การจัดท่าทำได้ดังนี้
       1. นั่งคุกเข่าข้าง ๆ ผู้ป่วย ทำ Head Tilt Chin Lift เหยียดขาผู้ป่วยให้ตรง จับแขนด้านใกล้ตัวงอและหงายมือขึ้นดังภาพ

                        


  การจับแขนด้านใกล้ตัว
                                                   


       2. จับแขนด้านไกลตัวข้ามหน้าอกมาวางมือไว้ที่แก้มอีกข้างหนึ่ง

                      


  การจับแขนด้านไกลตัว
                                                  


       3. ใช้แขนอีกข้างหนึ่งจับขาไว้ ดึงพลิกตัวผู้ป่วยให้เข่างอข้ามตัวมาด้านที่ผู้ปฏิบัติอยู่ ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าตะแคง

                    


    การจับดึงให้พลิกตัว
                                                        

       4. จับศีรษะแหงนเล็กน้อย เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ปรับมือให้อยู่ใต้แก้ม และจัดขาให้งอเล็กน้อย

อันตรายของการทำ CPR ไม่ถูกวิธี
         1. วางมือผิดตำแหน่ง ทำให้ซี่โครงหัก, Xiphoid หัก, กระดูกที่หักทิ่มโดนอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ม้าม เกิดการตกเลือดถึงตายได้
         2. การกดด้วยอัตราเร็วเกินไป เบาไป ถอนแรงหลังกดไม่หมด ทำให้ปริมาณเลือดไปถึงอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญได้น้อย ทำให้ขาดออกซิเจน
         3. การกดแรงและเร็วมากเกินไป ทำให้กระดูกหน้าอกกระดอนขึ้น ลงอย่างรวดเร็ว หัวใจช้ำเลือดหรือกระดูกหักได้
         4. การกดหน้าอกลึกเกินไป ทำให้หัวใจชอกช้ำได้
         5. การเปิดทางเดินหายใจไม่เต็มที่ เป่าลมมากเกินไป ทำให้ลมเข้ากระเพาะอาหาร เกิดท้องอืด อาเจียน ลมเข้าปอดไม่สะดวก ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ ถ้ามีอาการอาเจียนเกิดขึ้นก่อน หรือ ระหว่างการทำ CPR ต้องล้วงเอาเศษอาหารออกก่อน มิฉะนั้นจะเป็นสาเหตุของ การอุดตันของทางเดินหายใจ (Airway Obstruction) การช่วยหายใจไม่ได้ผล เกิดการขาดออกซิเจน ถ้ามีอาการท้องอืดขึ้น ระหว่างการทำ CPR ให้จัดท่าเปิดทางเดินหายใจใหม่ และช่วยการหายใจด้วยปริมาณลมที่ไม่มากเกินไป

ที่มา: 
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร




ตัวอย่างการช่วยฟื้นคืนชีพ










ระบบประสาท


ระบบประสาท (Nervous System) คือ ระบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสัตว์ ทำให้สัตว์สามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างรวดเร็ว  ช่วยรวบรวมข้อมูลเพื่อให้สามารถตอบสนองได้   สัตว์ชั้นต่ำบางชนิด เช่น ฟองน้ำ  ไม่มีระบบประสาท  สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิดเริ่มมีระบบประสาท  สัตว์ชั้นสูงขึ้นมาจะมีโครงสร้างของระบบประสาทซับซ้อนยิ่งขึ้น  ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งออกเป็น  2  ส่วน คือระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก
      
ระบบประสาทส่วนกลาง
                    ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System หรือ  Somatic Nervous System ) เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของร่างกาย  ซึ่งทำงานพร้อมกันทั้งในด้านกลไกและทางเคมีภายใต้อำนาจจิตใจ  ซึ่งประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง  โดยเส้นประสาทหลายล้านเส้นจากทั่วร่างกายจะส่งข้อมูลในรูปกระแสประสาทออกจากบริเวณศูนย์กลาง  มีอวัยวะที่เกี่ยวข้องดังนี้
                    

                    1.  สมอง(brain)  เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ ของระบบประสาทส่วนกลาง  ทำหน้าที่ควบคุมการทำกิจกรรมทั้งหมดของร่างกาย  เป็นอวัยวะชนิดเดียวที่แสดงความสามารถด้านสติปัญญา การทำกิจกรรมหรือการแสดงออกต่างๆ สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่สำคัญแบ่งออกเป็น  3  ส่วนดังนี้
                        1.1  เซรีบรัมเฮมิสเฟียร์ (Cerebrum Hemisphere) คือ สมองส่วนหน้า  ทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมที่ซับซ้อนเกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์  ควบคุมความคิด  ความจำ  และความเฉลียวฉลาด เชื่อมโยงความรู้สึกต่างๆ เช่น การได้ยิน  การมองเห็น การรับกลิ่น  การรับรส  การรับสัมผัส  เป็นต้น                       

                       1.2  เมดัลลาออบลองกาตา (Medulla Oblongata)  คือ ส่วนที่อยู่ติดกับไขสันหลัง  ควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนวัติ  เช่น  การหายใจ  การเต้นของหัวใจ  การไอ  การจาม
           การกะพริบตา  ความดันเลือด เป็นต้น
                       1.3  เซรีเบลลัม (Cerebellum) คือ สมองส่วนท้าย  เป็นส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและการทรงตัว ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ  เช่น การเดิน  การวิ่ง  การขี่จักรยาน  เป็นต้น




               2. ไขสันหลัง (Spinal Cord) เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่ทอดยาวจากสมองไปภายในโพรงกระดูกสันหลัง กระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายจะผ่านไขสันหลัง  มีทั้งกระแสประสาทเข้า และกระแสประสาทออกจากสมอง  และกระแสประสาทที่ติดต่อกับไขสันหลังโดยตรง


               3.  เซลล์ประสาท (Neuron)  เป็นหน่วนที่เล็กที่สุดของระบบประสาท  เซลล์ประสาทมีเยื่อหุ้มเซลล์ไซโทพลาสซึมและนิวเคลียสเหมือนเซลล์อื่นๆ แต่มีรูปร่างและลักษณะแตกต่างออกไปเซลล์ประสาทประกอบด้วยตัวเซลล์และเส้นใยประสาทที่มี  2  แบบคือ เดนไดรต์ (Dendrite) ทำหน้าที่นำกระแสประสาทเข้าสู่ตัวเซลล์และแอกซอน (Axon) ทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ไปยังเซลล์ประสาทอื่นๆ เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่การทำงานได้  3 ชนิด คือ

                         3.1  เซลล์ประสาทรับความรู้สึก  รับความรู้สึกจากอวัยวะสัมผัส  เช่น จมูก  ตา  หู  ผิวหนัง  ส่งกระแสประสาทผ่านเซลล์ประสาทประสานงาน

                         3.2  เซลล์ประสาทประสาน เป็นตัวเชื่อมโยงกระแสประสาทระหว่างเซลล์รับความรู้สึกกับสมอง  ไขสันหลัง  และ เซลล์ประสาทสั่งการ พบในสมองและไขสันหลังเท่านั้น

                         3.3  เซลล์ประสาทสั่งการ  รับคำสั่งจากสมองหรือไขสันหลัง  เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ




 การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
                สิ่งเร้าหรือการกระตุ้นจัดเป็นข้อมูลที่เส้นประสาทนำไปยังระบบประสาทส่วนกลาง เรียกว่า “กระแสประสาท” เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่นำไปสู่เซลล์ประสาททางด้านเดนไดรต์ และเดินทางออกอย่างรวดเร็วทางด้านแอกซอน  แอกซอนส่วนใหญ่มีแผ่นไขมันหุ้มไว้เป็นช่วงๆ แผ่นไขมันนี้ทำหน้าที่เป็นฉนวนและทำให้กระแสประสาทเดินทางได้เร็วขึ้น  ถ้าแผ่นไขมันนี้ฉีกขาดอาจทำให้กระแสประสาทช้าลง  ทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ  เนื่องจากการรับคำสั่งจากระบบประสาทส่วนกลางได้ไม่ดี

ระบบประสาทรอบนอก

                ระบบประสาทรอบนอก (peripheral nervous system)  ทำหน้าที่รับและนำความรู้สึกเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง  ได้แก่  สมองและไขสันหลัง  จากนั้นนำกระแสประสาทสั่งการจากระบบประสาทส่วนกลางไปยังหน่วยปฏิบัติงาน  ซึ่งประกอบด้วยหน่วยรับความรู้สึกและอวัยวะรับสัมผัส  รวมทั้งเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่อยู่นอกระบบประสาทส่วนกลาง  

                ระบบประสาทรอบนอกจำแนกตามลักษณะการทำงานได้  2  แบบดังนี้

                 1.  ระบบประสาทภายใต้อำนาจจิตใจ  เป็นระบบควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่บังคับได้รวมทั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้า    ภายนอก

                 2.  ระบบประสาทนอกอำนาจจิตใจ  เป็นระบบประสาทที่ทำงานโดยอัตโนวัติ  มีศูนย์กลางควบคุมอยู่ในสมองและไขสันหลัง  ได้แก่  การเกิดรีเฟลกซ์แอกชัน(reflex action) และเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นที่อวัยวะรับสัมผัสเช่น ผิวหนัง  กระแสประสาทจะส่งไปยังไขสันหลัง  และไขสันหลังจะสั่งการตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อโดยไม่ผ่านไปที่สมอง ดังรูป เมื่อมีเปลวไฟมาสัมผัสที่ปลายนิ้ว  กระแสประสาทจะถูกส่งผ่านไปยังไขสันหลังโดยไม่ผ่านไปยังสมอง  ไขสันหลังทำหน้าที่สั่งการให้กล้ามเนื้อที่แขนเกิดการหดตัว  เพื่อดึงมือออกจากเปลวไฟทันที



พฤติกรรมของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า                  
                พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของมนุษย์เป็นปฏิกิริยาอาการที่แสดงออกเพื่อการตอบโต้ต่อสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกร่างกาย  เช่น                 -  สิ่งเร้าภายในร่างกาย  เช่น ฮอร์โมน  เอนไซม์  ความหิว  ความต้องการทางเพศ เป็นต้น                 -  สิ่งเร้าภายนอกร่างกาย  เช่น แสง  เสียง  อุณหภูมิ  อาหาร  น้ำ  การสัมผัส  สารเคมี  เป็นต้น                กิริยาอาการที่แสดงออกเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกอาศัยการทำงานที่ประสานกันระหว่างระบบประสาท  ระบบกล้ามเนื้อ  ระบบต่อมไร้ท่อ  และระบบต่อมมีท่อ  ดังตัวอย่างต่อไปนี้                
                1.  การตอบสนองเมื่อมีแสงเป็นสิ่งเร้า
                     -  เมื่อได้รับแสงสว่างจ้า  มนุษย์จะมีพฤติกรรมการหรี่ตาเพื่อลดปริมาณแสงที่ตาได้รับ
                2.  การตอบสนองเมื่ออุณหภูมิเป็นสิ่งเร้า
                     -  ในวันที่มีอากาศร้อนจะมีเหงื่อมาก เหงื่อจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายเพื่อปรับอุณหภูมิภายในร่างกายไม่ให้สูงเกินไป
                     -  เมื่อมีอากาศเย็นคนเราจะเกิดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ  หรือ เรียกว่า”ขนลุก”
                3.  เมื่ออาหารหรือน้ำเข้าไปในหลอดลมเกิดพฤติกรรมการไอหรือจาม เพื่อขับออกจากหลอดลม                4.  การเกิดพฤติกรรมแบบรีเฟลกซ์  เป็นพฤติกรรมการตอบสนองหรือตอบโต้ทันทีเพื่อความปลอดภัยจากอันตราย เช่น                     -  เมื่อฝุ่นเข้าตามีพฤติกรรมกะพริบตา                    

                     -  เมื่อสัมผัสวัตถุร้อนจะชักมือจากวัตถุร้อนทันที                     
                     -  เมื่อเหยียบหนามจะรีบยกเท้าให้พ้นหนามทันที

ประวัติความเป็นมาของจังหวะ Cha-Cha-Cha




จังหวะชา ชา ช่า (Cha-Cha-Cha) เป็นจังหวะลีลาศประเภทลาตินอเมริกัน เป็นที่นิยมเต้นกันมาก มีกำเนิดมาจากประเทศโดมินิกันและคิวบา จังหวะ ชา ชา ช่า ได้รับการพัฒนามาจากจังหวะ แมมโบ้ (Mambo) และเป็นจังหวะลาตินที่คนส่วนมากชอบที่จะเรียนรู้เป็นอับดับแรก ชื่อของจังหวะนี้ตั้งขึ้นโดยการเลียนเสียงรองเท้า ของสตรีชาวคิวบาขณะที่กำลังเต้นรำจังหวะ ชา ชา ช่า ได้ถูกพบเห็นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกาและเผยแพร่ไปในยุโรป เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันกับจังหวะแมมโบ้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะแมมโบ้ได้เสื่อมความนิยมลงไป ผู้คนหันมานิยมจังหวะ ช่า ช่า ช่า และได้รับความนิยมอย่างจริงจังในปี ค.. 1956 เมื่อไม่นานมานี้เป็นที่ตกลงกันไว้ว่า ให้ตัดทอนชื่อให้สั้นลงเป็น ชา ช่า
ในประเทศไทยประมาณปี พ.. 2498 ได้มีการแสดงของวงดนตรีซีซ่า วาเลสโก ที่สวนลุมพินีโดยมิสเตอร์เออร์นี่ชาวฟิลิปปินส์ได้นำลีลาการเต้น ชา ชา ช่า มาประกอบเพลง